เรื่องราวของเถ้าแก่น้อย ที่ปัจจุบันกลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ นั้นคุณๆท่านๆสามารถหาข้อมูลได้จากหลายๆทาง
แต่วันนี้ทาง Packaging City นั้นจะมาผ่าเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้เถ้าแก่น้อยนั้นประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ก็คือ บรรจุภัณฑ์ (Packaging) นั่นเอง
เหตุใดทำไมบรรจุภัณฑ์จึงมีผลขนาดนั้นเชียวรึ….? คำตอบคือใช่ มันมีส่วนอย่างมากเกินกว่าที่คุณคิดเลยก็ว่าได้
ถ้าค้นคว้าความเป็นมาเป็นไปของคุณต๊อบ “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” นั้นช่วงแรกที่เค้าคิดจะทำสินค้าสาหร่ายนั้น ตัวเค้าเองได้ส่งสินค้าไปจำหน่ายตามร้านโชว์ห่วยในหลายๆที่ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ที่เค้าใช้นั้นเป็นแค่เพียงถุงพลาสติกใสๆ ติดแบรนด์เถ้าแก่น้อยแค่นั้นเอง อาจพูดได้ว่า บรรจุภัณฑ์ของ OTOP นั้นสวยกว่าเยอะ ซึ่งหลังจากนั้นยอดขายของสาหร่ายของคุณต๊อบเรียกได้ว่าขายไม่ค่อยดี แต่หลังจากนั้นเค้าจึงคิดจะใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” นั้นคือคิดจะเข้า 7- eleven ที่มีสาขาร่วม 4,000 สาขา แต่การที่จะขาย 7- eleven นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมาตรฐานในการวางจำหน่ายของ 7- eleven นั้นสูงมาก ทำให้คุณต๊อบต้องมีการคิดโดยรอบคอบและปรับเปลี่ยนทัศนคติหลายๆอย่าง เดิมที Packaging ของเถ้าแก่น้อยดูไม่น่าซื้อ แต่ภายหลังจากการค้นหาข้อมูลทางคุณต๊อบได้เปลี่ยนทัศนคติใหม่ ซึ่งก็รู้ว่าจริงๆ แล้วการทำ Packaging ให้สวยเทียบเท่าแบรนด์ขนมชั้นนำนั้นไม่ได้ลงทุนสูงอย่างที่คิด มันมีทางเลือกมากมายหลากหลาย ด้วยเหตุนี้เองคุณต๊อบจึงได้การเปลี่ยนแปลง Packaging ให้ดูน่าซื้อมากขึ้น ทำให้ 7- eleven นั้นไม่รีรอที่จะนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปจำหน่าย รวมทั้งคุณต๊อบเองเรียกได้ว่าเป็น First mover ของตลาด Snack สาหร่ายอย่างจริงจัง ทำให้คุณต๊อบหรือเถ้าแก่น้อยนั้นประสบความสำเร็จและเป็นเบอร์หนึ่งในวงการสาหร่ายไปโดยปริยาย นับได้ว่าน่าชื่นชมกับยอดคนไทยคนนี้เป็นอย่างมาก
Packaging City จะมาผ่ากลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ความสำเร็จของเถ้าแก่น้อยออกมาเป็นข้อๆให้เข้าใจได้ง่าย ว่าทำไมถึงออกแบบได้ดี
Communication
1. Naming : การตั้งชื่อ “เถ้าแก่น้อย” ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม เพราะไม่มีชื่อนี้ในตลาดไทยและตลาดโลก อีกทั้งชื่อเถ้าแก่ กับคำว่าน้อย นั้น contrast กัน ทำให้ดูใหม่ น่าสนใจ จดจำได้ง่ายเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย การตั้งชื่อจะคล้ายๆกับแบรนด์ โก๋แก่ เป็นต้น
2. Brand : ตัวโลโก้เถ้าแก่น้อยนั้น ไม่เพียงแต่เป็น Mascot เฉยๆ ยังมีการสื่อสารด้าน Emotion ของรสชาติสินค้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์นี้มากขึ้น
อีกทั้งเถ้าแก่น้อยเป็น Brand ใหม่ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งก็คือ Logo ต้องมีขนาดใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าทำได้ดี
3. Product : Packshot (รูปของสินค้า) นั้นถ่ายภาพได้ค่อนข้างน่ากินและเข้าใจง่าย
4. Color : มีการให้สีไปตาม Flavour ของสินค้า
5. Copy : ทำได้ดี มีการบ่งบอกคุณลักษณะผลิตภัณฑ์ 3 ประการ 1. สาหร่ายเราเป็นของญี่ปุ่น 2. สาหร่ายเราเป็นของแท้ของจริง และ 3. อร่อยได้ง่ายๆได้คุณค่าอีกต่างหาก
6. Other : มีการเว้นให้เห็น Foil บริเวณด้านข้าง โดยการทำเป็นเส้นหยักๆ ให้ให้ดูแตกต่างและน่าสนใจ อีกทั้งด้านหลังบรรจุภัณฑ์โดยรวมก็ทำได้ดี ไม่ละเลยจุดเล็กๆ
Function
1. เลือกใช้ซอง Metalize ซึ่งถูกต้องแล้ว เพราะซอง Metalize นั้นช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์ได้ดี
2. มีการใช้ Ziplock เพื่อการเก็บรักษาขณะแกะซองสินค้าแล้วทานไม่หมด
ลองมาดูเพื่อนบ้านของเถ้าแก่น้อยกัน
จะเห็นได้ว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆก็ลงมาเล่นชิ้นเค้กที่แสนจะหอมหวานของตลาดสาหร่ายกันเยอะ อีกทั้งยังมีการใช้กลยุทธ์ Me too Strategies ทั้งในเรื่องของ
1. Naming เช่น เถ้าแก่น้อย –> เถ้าแก่เนี้ย (เป็นแม่), ตี๋เล็ก(เป็นน้องชาย), โชกุเนะ (เป็นเถ้าแก่น้อยแบบญี่ปุ่น), ซีลีโกะกับทาเบรุ (จะออกแนวญี่ปุ่นๆ) เป็นต้น
2. Packaging ซึ่งจะเห็นว่าแบรนด์คู่แข่งทุกแบรนด์จะต้องมีตัว Mascot เหมือนเถ้าแก่น้อยกันหมด อีกทั้งเรื่องสีสันภาพรวมของบรรจุภัณฑ์ ก็ยังทำเหมือนกันอีก Original(สีเขียว) ต้มยำ(สีแดงๆส้มๆ) เป็นต้น
ทำให้ตลาดสาหร่ายนั้นมีความแตกต่างกันด้าน Packaging น้อยมาก ทำให้คู่แข่งนั้น ไม่อาจฉีกหนีจากรูปแบบของซองเถ้าแก่น้อยได้เลย
นี่ถือเป็น Case Study ของ First-Mover Advantage ที่ถือได้ว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในวงการสาหร่าย ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่ๆที่เข้ามาเลยถอดแม่แบบออกมาเลย ดังนั้นการที่จะเป็นผู้แข่งขันอย่างจริงจังนั้นต้องสร้างความแตกต่างจากตลาดเพื่อเป็นจุดเปลี่ยนให้ได้
Filed under: Packaging Strategy, บรรจุภัณฑ์, ออกแบบ, เถ้าแก่น้อย, Design, Packaging, Packaging Case Study, Packaging Design, Taokaenoi